อุตสาหกรรมการผลิตของไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งหนึ่ง
ต้นทุนพลังงานและค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นแรงกดดันจากภายนอกที่กำลังกระทบต่อโครงสร้างรายได้ของโรงงานอย่างรุนแรง
แม้ว่าจะยังได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ เช่น สิทธิประโยชน์จาก BOI และข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) แต่การแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนก็กำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ หากต้องการให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการลดต้นทุนโดยไม่พึ่งพา “ปัจจัยภายนอก” และการปฏิรูปโครงสร้างต้นทุนในระดับรากฐานผ่านการประยุกต์ใช้ระบบดิจิทัล (DX)
โดยมี “หน้างานเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง”
โดยในบทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ ปัญหาที่โรงงานในไทยกำลังเผชิญ แนวทางการแก้ไขที่สามารถลงมือทำได้จริง และมาตรการปรับปรุงแบบเร่งด่วนที่ TOMASTECH พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม
เหตุผลที่อุตสาหกรรมการผลิตในไทยถูกกดดันให้ “ปฏิรูปรูปต้นทุน”

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการผลิตในไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้โครงสร้างต้นทุนแบบเดิมไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนอีกต่อไป
ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่บั่นทอนกำไรของภาคการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่มีข้อจำกัดในการปรับราคาสินค้า ยิ่งเป็นอุปสรรคที่ท้าทาย
นอกจากนี้ การแข่งขันด้านทำเลการลงทุนภายในภูมิภาคอาเซียนก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการที่ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยจึงจำเป็นต้องทบทวนจุดแข็งของตนเอง และเร่งเดินหน้าสู่ “การปฏิรูปจากภายใน” อย่างจริงจัง
ราคาพลังงานและวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก
แนวโน้มราคาทรัพยากรทั่วโลกที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อผู้ผลิตในประเทศไทย
นอกจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ราคาวัตถุดิบหลักอย่างเหล็ก ทองแดง พลาสติก และเซมิคอนดักเตอร์ ก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นทั่วทั้งสายงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า ยังต้องรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมอีกด้วย
หากไม่มีระบบหรือกลไกที่สามารถดูดซับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ได้ การแข่งขันด้านราคาก็จะยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น
ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น + ขาดแคลนแรงงาน
ตั้งแต่ปี 2024 ประเทศไทยเริ่มทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลให้ต้นทุนด้านแรงงานในสายการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน การที่แรงงานรุ่นใหม่หันหลังให้กับงานสายการผลิต รวมถึงการเกษียณของแรงงานฝีมือในรุ่นก่อนหน้า ทำให้การรักษากำลังคนที่มีทักษะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ
ภาวะขาดแคลนแรงงานยังก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ เช่น ความจำเป็นต้องใช้โอทีมากขึ้น หรือเพิ่มจำนวนกะการทำงาน ซึ่งท้ายที่สุดก็ยิ่งผลักต้นทุนให้สูงขึ้นไปอีก
ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการลดต้นทุนเพียงผิวเผิน แต่จำเป็นต้องมีการทบทวนเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
แหล่งอ้างอิง:Bangkok Post「Daily minimum wage to rise to B400 in 10 provinces」
สิทธิประโยชน์ BOI / FTA กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้านทำเล
มาตรการสนับสนุนการลงทุนจาก BOI และข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ถือเป็นปัจจัยบวกที่เอื้อต่อผู้ผลิตในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม ที่ต่างเร่งออกนโยบายจูงใจด้านภาษีและโครงสร้างพื้นฐาน
ดังนั้น การจะหลุดพ้นจากการแข่งขันด้านต้นทุนเพียงอย่างเดียว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหันกลับมาพัฒนาภายใน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มคุณภาพการผลิต การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการลงทุนด้านเทคโนโลยี
การรักษาความได้เปรียบในฐานการผลิตจึงไม่สามารถอาศัยเพียงปัจจัยภายนอกอีกต่อไป แต่ต้องเกิดจาก “การยกระดับจากภายในองค์กร” อย่างต่อเนื่อง
แหล่งอ้างอิง:Thailand Board of Investment「Incentives」
มุมมองการลดต้นทุนจาก “หน้างาน” ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทย

แม้ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะทวีความรุนแรงมากเพียงใด แต่อุตสาหกรรมการผลิตก็ยังสามารถดำเนินการจากหน้างานได้
หากภาคการผลิตในประเทศไทยต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องค้นหา “ความสูญเปล่าที่มองไม่เห็น” และผลักดันการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยอ้างอิงจากข้อมูลจริงจากหน้างาน
การดำเนินการลดต้นทุนอย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงแค่ “ลดค่าใช้จ่าย” แต่ต้องเป็นการทบทวนการใช้กระบวนการทำงาน กำลังคน และอุปกรณ์อย่างเป็นระบบ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากหน้างานเป็นสำคัญ
ใช้ดัชนีชี้วัดวิเคราะห์ประสิทธิภาพ การสูญเสีย และการใช้เครื่องจักร
จุดเริ่มต้นของการปรับปรุง คือ “การวัดสถานการณ์ปัจจุบันด้วยตัวเลข” แต่หลายบริษัทมักพึ่งพาเพียงประสบการณ์หรือความรู้สึก ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างดัชนีสำคัญที่สามารถใช้วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ OEE (ประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร), อัตราผลผลิต, อัตราของเสีย และอัตราการใช้งานเครื่องจักร
เมื่อสามารถมองเห็นจุดที่เกิดความสูญเสียได้ชัดเจน จะสามารถจัดลำดับความสำคัญของการปรับปรุง และหลีกเลี่ยงการลงทุนหรือดำเนินการที่ไม่ตรงจุดได้
ทำให้ “ความสูญเปล่า” ในเครื่องจักร-กำลังคน-ทรัพยากร กลายเป็นสิ่งที่มองเห็นได้
ในหลายโรงงานของไทย กระบวนการทำงานแต่ละขั้นตอน เวลารอคอย ระยะทางในการเคลื่อนย้าย หรือช่วงเวลาที่เครื่องจักรว่างงาน มักถูกประเมินจาก “ความรู้สึกของหน้างาน”
การทำให้ข้อมูลเหล่านี้สามารถ “มองเห็นได้” เช่น “เครื่องจักรตัวนี้หยุดทำงาน 20 นาทีทุกบ่าย” หรือ “มีคนรอคอยในกระบวนการ A โดยไม่มีงานทำ” จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนของความไม่มีประสิทธิภาพที่ส่งผลต่อต้นทุน
การทำให้ความสูญเปล่า “มองเห็นได้” ยังช่วยลดการพึ่งพาบุคคล และนำไปสู่การจัดมาตรฐานการทำงาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมต้นทุนการผลิต
แนวทางการตั้งค่า KPI และการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการต่าง ๆ
หากต้องการให้การปรับปรุงหน้างานเกิดผลสูงสุด การกำหนด KPI (ดัชนีชี้วัดผลงานที่สำคัญ) และการเรียงลำดับความสำคัญของมาตรการถือเป็นสิ่งจำเป็น
การ “เปลี่ยนแปลงทั้งหมดในคราวเดียว” อาจไม่ใช่แนวทางที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ แต่หากทรัพยากรมีจำกัด จำเป็นต้องตัดสินใจอย่างชัดเจนว่า “จะเริ่มจากจุดใดก่อน”
โดย TOMAS TECH เราดำเนินการโดยอ้างอิงจากข้อมูลจริง เพื่อระบุปัญหาและออกแบบขั้นตอนการปรับปรุงเป็นลำดับขั้น ซึ่งถือเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผล และสามารถสร้างผลลัพธ์สูงสุดภายใต้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด
กรณีตัวอย่าง “การปรับปรุงหน้างานที่เห็นผลทันที” ที่ TOMASTECH ให้การสนับสนุน

ในการลดต้นทุนการผลิต “มาตรการที่ให้ผลลัพธ์ได้ในทันที” ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร
TOMASTECH ได้ให้การสนับสนุนในการพัฒนาโซลูชันที่ช่วยให้สามารถมองเห็นข้อมูลผลการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานอุปกรณ์และบุคลากร โดยเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ (Small Start) และวางรากฐานให้ระบบสามารถฝังตัวในหน้างานได้อย่างมั่นคง
และในเนื้อหานี้ คือการสนับสนุนจาก TOMASTECH ที่นำไปใช้ได้จริง และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
การเก็บข้อมูลการผลิต / ตรวจสอบการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของไลน์ผลิต
`วิธีที่สามารถเห็นผลได้ชัดเจนในระยะแรก คือ “การแสดงสถานะการทำงานของไลน์ผลิตให้มองเห็นได้ชัดเจน”
TOMASTECH ใช้เซนเซอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลการทำงาน เพื่อบันทึกและแสดงผลเวลาทำงาน เวลาหยุด และสาเหตุของการหยุดทำงานของแต่ละเครื่องจักรแบบเรียลไทม์
ด้วยข้อมูลนี้ จึงสามารถระบุขั้นตอนที่เป็นคอขวด หรือสาเหตุของการหยุดทำงานสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถกำหนดแนวทางการแก้ไขได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่น โรงงานแห่งหนึ่งสามารถเพิ่มอัตราการทำงานของไลน์หลักจาก 85% เป็น 92% และลดค่าแรงต่อหน่วยผลิตได้ถึง 8%
การใช้ MES เพื่อให้มองเห็นความคืบหน้า สต็อก และเวลาทำงาน
ในหน้างานที่ยังคง “คาดเดาแบบคร่าวๆ” เกี่ยวกับความล่าช้าของงานหรือปริมาณสินค้าคงคลัง การนำระบบ MES (Manufacturing Execution System) มาใช้จะได้ผลลัพธ์อย่างมาก
MES ที่ TOMASTECH ให้บริการ สามารถติดตามคำสั่งผลิต จำนวนการผลิต สถานะของ WIP (สินค้าระหว่างผลิต)และข้อมูลเวลาทำงานที่ใช้จริงแบบเรียงตามลำดับเวลา ทำให้หัวหน้าหน้างานและผู้จัดการสามารถตัดสินใจและสั่งการได้อย่างทันท่วงที
นอกจากช่วยลดความผิดพลาดในการสั่งงาน และลดสินค้าคงคลังเกินความจำเป็นแล้ว ยังสามารถมองเห็น “ความสูญเปล่าในการเคลื่อนไหว” ของทั้งหน้างานได้อย่างชัดเจน จึงสามารถดำเนินการปรับปรุงได้ตรงจุดและในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
การจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสมด้วย IoT × เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของคน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่า “ในแต่ละขั้นตอนของงาน มีการใช้เวลาไปกับอะไรนานแค่ไหน”
TOMASTECH ใช้เทคโนโลยี IoT ร่วมกับเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของคน เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเคลื่อนไหวของพนักงาน และการใช้เวลาต่อกิจกรรมแต่ละอย่างโดยอัตโนมัติ
เช่น หากพบว่าการหยิบชิ้นส่วน (Picking) ใช้เวลาเฉลี่ยมากกว่า 5 นาที ก็สามารถปรับปรุงได้ด้วยการจัดเส้นทางใหม่ หรือเปลี่ยนตำแหน่งชั้นวาง
ด้วยการเชื่อมโยงการปรับปรุงขั้นตอนงานกับการจัดสรรทรัพยากรบุคคลใหม่เช่นนี้ จะสามารถสร้างผลกระทบต่อการลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เพิ่มภาระให้กับพนักงานมากนัก
“การลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง” ด้วย DX ด้านการผลิตในอุตสาหกรรมการผลิตของไทย

即หลังจากได้ผลลัพธ์จากการปรับปรุงในจุดที่เห็นผลได้ทันทีแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญคือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง
เพื่อให้ภาคการผลิตของไทยสามารถยกระดับความสามารถในการทำกำไรได้ในระยะยาว การดำเนินการ Digital Transformation (DX) ด้านการผลิตที่คำนึงถึง “การเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม” แทนที่จะเน้นเพียงแค่บางส่วน จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
TOMAS TECH ให้การสนับสนุนการขจัดปัญหาการพึ่งพาตัวบุคคลและการแยกส่วนของข้อมูล ผ่านการสร้างรากฐานข้อมูลและมาตรฐานการทำงานที่ครอบคลุมถึงระดับผู้บริหารและฝ่ายบริหารจัดการ
ด้านล่างนี้คือมาตรการต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่ “การลดต้นทุนเชิงโครงสร้างในระยะกลางถึงยาว” อย่างแท้จริง
การบริหารจัดการข้อมูลการผลิตให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจด้วยเครื่องมือ BI
ข้อมูลผลงานและ KPI ที่เก็บมาจากหน้างาน หากเพียงแค่ “บันทึกไว้” โดยไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ ก็จะไม่มีความหมาย
TOMAS TECH สนับสนุนการเชื่อมต่อข้อมูลเหล่านี้เข้ากับเครื่องมือ BI เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลหน้างานแบบเรียลไทม์ และเปลี่ยนให้กลายเป็นรายงานที่สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงธุรกิจได้
ตัวอย่างเช่น การแสดงให้เห็นแนวโน้มของอัตราการเดินเครื่อง, ต้นทุน, และค่าแรงรายไลน์การผลิต จะทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า “ควรลงทุนตรงไหน” และ “ควรลดค่าใช้จ่ายตรงไหน”
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความแม่นยำในการตัดสินใจลงทุนและความสามารถในการดำเนินกลยุทธ์ระดับองค์รวมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรในระยะยาว
สร้างระบบแบ่งปันข้อมูลเพื่อก้าวข้ามการพึ่งพาตัวบุคคลและการใช้เอกสารกระดาษ
การดำเนินงานที่ยังคงพึ่งพากระดาษหรือ Excel เป็นหลัก มักนำไปสู่ปัญหา “กลายเป็นกล่องดำ” ในหน้างาน เช่น เมื่อพนักงานบางคนไม่อยู่ งานทั้งไลน์ก็หยุดชะงัก ไม่สามารถค้นหาข้อมูลจากเอกสารเก่าได้ ขั้นตอนการทำงานแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “แหล่งต้นทุนที่ไม่จำเป็น”
TOMAS TECH จึงให้การสนับสนุนการสร้างมาตรฐานให้กับแต่ละกระบวนการ เครื่องจักร และขั้นตอนการทำงาน พร้อมทั้งแปลงข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์
ผลคือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ใครก็สามารถทำงานตามขั้นตอนและข้อมูลเดียวกันได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการฝึกอบรม ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ และขจัดการพึ่งพาตัวบุคคลได้จากรากฐาน
ลดความสูญเสียด้วยระบบ Traceability และการควบคุมคุณภาพที่เสถียร
ปัญหา “สินค้าชำรุด” ที่ต้องผลิตใหม่หรือส่งกลับมาทำซ้ำ ถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ในการลดต้นทุนในอุตสาหกรรมการผลิตของไทย
TOMAS TECH จึงให้การสนับสนุนการสร้าง “ระบบ Traceability (การตรวจสอบย้อนกลับ)” โดยเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ เช่น ผลการผลิต, ข้อมูลการตรวจสอบ, หมายเลขล็อตของวัตถุดิบ, และผู้ปฏิบัติงานในแต่ละกระบวนการเข้าไว้ด้วยกัน
แม้เกิดปัญหาขึ้น ก็สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในขั้นตอนไหน จึงสามารถระบุสาเหตุได้รวดเร็วและป้องกันการเกิดซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเสถียรด้านคุณภาพไม่เพียงส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับ การลดต้นทุน อีกด้วย
TOMASTECH สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ “โครงสร้างธุรกิจที่สร้างกำไรได้อย่างยั่งยืน” แม้จะอยู่ท่ามกลางความผันผวนจากปัจจัยภายนอก

ราคาพลังงานและค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เป็นตัวอย่างของปัจจัยภายนอกที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอย่างต่อเนื่อง
หากต้องการรักษาระดับกำไรให้มั่นคงโดยไม่ต้องพึ่งพาการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอก องค์กรจำเป็นต้องเสริมสร้าง “โครงสร้างธุรกิจที่สร้างกำไรได้อย่างยั่งยืน” จากภายใน
การที่ภาคการผลิตของไทยจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความพยายามในการปรับปรุงจากภายใน และการตัดสินใจที่อิงจากข้อมูล มากกว่าการพึ่งพาสภาพแวดล้อมภายนอกหรือมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว
ทำไม “ประเทศไทย” จึงกลับมาได้รับความสนใจในฐานะฐานการผลิตอีกครั้ง
ในช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกพยายามลดการพึ่งพาจีน ประเทศไทยจึงกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในฐานะ “China Plus One” ด้วยจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้ว และการมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซียก็กำลังสร้างความได้เปรียบผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า
ดังนั้น จากนี้ไป ความได้เปรียบของประเทศไทยจะไม่ใช่เพียงแค่ “ฐานการผลิต” เท่านั้น แต่รวมถึง “ศักยภาพของหน้างาน” ด้วย
สู้กับภาษีและค่าจ้างที่สูงขึ้น ด้วย “ประสิทธิภาพการผลิต”
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไทยอาจเสียเปรียบในด้านภาษีและค่าจ้างแรงงาน แต่ยังคงได้เปรียบในด้านคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรบุคคล
สิ่งที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแตกต่างในระยะยาว คือ “ความสามารถในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ” เช่น การเพิ่มมูลค่าที่ผลิตได้ต่อคน หรือการเดินเครื่องจักรให้ได้อย่างมีเสถียรภาพแม้มีทรัพยากรจำกัด
นี่คือสิ่งที่จะกำหนดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนขององค์กรในระยะยาว
จัดเตรียม “ข้อมูลจากหน้างาน” ที่เชื่อมโยงถึงระดับบริหาร เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ
บริษัทที่สามารถปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างยืดหยุ่น มักมีจุดร่วมที่สำคัญคือ “มีข้อมูลที่พร้อมใช้ในการตัดสินใจอยู่เสมอ”
เมื่อองค์กรสามารถมองเห็นสถานการณ์ของหน้างานได้แบบเรียลไทม์ และเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดจากทางเลือกที่มีได้อย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง เช่น ความต้องการของตลาด หรือการเปลี่ยนแปลงต้นทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
TOMASTECH ให้การสนับสนุนการวางรากฐาน “ข้อมูลหน้างาน” ที่เชื่อมโยงกันทั้งในระดับเครื่องจักร กระบวนการ และบุคลากร เพื่อสร้างโครงสร้างธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งจากภายใน
สรุป|การเปลี่ยนแปลงจาก “หน้างาน” คือกุญแจสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตไทย
อุตสาหกรรมการผลิตของไทยกำลังเผชิญกับทางเลือกครั้งใหญ่ ท่ามกลางต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่พุ่งสูง รวมถึงความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกซึ่งควบคุมไม่ได้ แต่บริษัทที่ยังสามารถเติบโตได้แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่างก็เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจาก “หน้างาน” ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการลดการพึ่งพาบุคคล การทำให้กระบวนการมองเห็นได้ชัดเจน การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล หรือการใช้ MES และ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้แรงงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานของโครงสร้างต้นทุนที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น
TOMASTECH มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจหน้างานการผลิตในไทยอย่างลึกซึ้ง พร้อมให้การสนับสนุนแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ออกแบบแนวทางปรับปรุง ดำเนินการติดตั้งระบบ ไปจนถึงการช่วยให้ระบบฝังรากในองค์กรได้จริง
เราไม่ได้เพียงแค่ติดตั้งเครื่องมือ แต่เรามุ่งสร้าง “วัฒนธรรมแห่งการปรับปรุงที่เดินได้ด้วยตัวเอง”
หากคุณต้องการเริ่มเปลี่ยนแปลงผลกำไรจากหน้างาน และลดต้นทุนอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ทันที