製造DXバナー
การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยระบบจัดการสินค้าคงคลังที่เหมาะกับโรงงานในประเทศไทย – ด้วยแนวทางแบบเป็นขั้นเป็นตอน และปัจจัยสู่ความสำเร็จ - TOMAS TECH CO.,LTD.|タイの製造業・物流業のDX化を支援

Blog

2025.06.10

การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยระบบจัดการสินค้าคงคลังที่เหมาะกับโรงงานในประเทศไทย – ด้วยแนวทางแบบเป็นขั้นเป็นตอน และปัจจัยสู่ความสำเร็จ

ในโรงงานหรือคลังสินค้าในไทยนั้น บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่ง มักประสบปัญหาในการจัดการสินค้าคงคลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ยอดสินค้าไม่ตรง” หรือ “การตรวจนับสต็อกที่ใช้เวลานาน”

แม้ปัจจุบันจะยังคงพึ่งพาการทำงานแบบใช้กระดาษ รวมไปถึงการพึ่งพาความสามารถเฉพาะบุคคลเป็นหลักอยู่ แต่ความต้องการด้านการมองเห็นข้อมูล และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับงานในโรงงาน และทางออกของปัญหาเหล่านี้ก็คือ การนำระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (WMS) เข้ามาใช้งานนั่นเอง

โดยในบทความนี้ เราจะพาไปทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของระบบ WMS ที่เหมาะกับการใช้งานในประเทศไทย พร้อมทั้งแนวทางการนำระบบมาใช้แบบเป็นขั้นตอน และปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การใช้งานระบบสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

 

| ปัญหาที่มักพบในการใช้งานระบบจัดการสินค้าคงคลังในประเทศไทย

โดยในที่นี้ เราจะพาไปดูถึงปัญหาหลักที่หลายบริษัทมักเผชิญเมื่อต้องใช้งานระบบจัดการสินค้าคงคลังในประเทศไทยกัน

ข้อมูลสินค้าคงคลังไม่ตรงกับในความเป็นจริง และภาระจากการตรวจนับสต็อก

การจัดการสต็อกด้วยมือหรือใช้เพียง Excel มักทำให้ยอดสินค้าคงเหลือในระบบไม่ตรงกับของจริง เช่น การบันทึกการรับ-จ่ายสินค้าไม่ครบ การคีย์ข้อมูลผิด หรือการนับจำนวนผิดจากความผิดพลาดของคน ทำให้ข้อมูลในระบบคลาดเคลื่อนจากในความเป็นจริง

ทำให้เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือน บริษัทจึงต้องอาศัยการตรวจนับสต็อก (Stock Take) เพื่อปรับยอดให้ตรงกัน แต่การตรวจนับนี้กลับกลายเป็นภาระใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อาจมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนพนักงาน ทำให้ต้องใช้โอทีหรือทำงานวันหยุด และแม้จะลงทุนทรัพยากรไปมาก ก็ยังคงเจอกับปัญหาที่ว่า “ยอดไม่ตรงอยู่ดี” นำไปสู่ความล่าช้าในแผนการผลิตหรือการจัดส่งสินค้า

งานผูกกับบุคคล และการใช้เอกสารกระดาษที่ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ

ในหลาย ๆ โรงงาน การจัดการสต็อกยังคงขึ้นอยู่กับ “ความรู้เฉพาะตัว” ของพนักงานบางคน หรือที่เรียกกันว่า “การผูกกับบุคคล” ซึ่งหมายถึงการที่ขั้นตอนต่าง ๆ ต้องอาศัยความชำนาญ หรือประสบการณ์เฉพาะของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น พนักงานคนหนึ่งอาจจะจำได้หมดว่าสินค้าอยู่ที่ไหน มีจำนวนเท่าไร แต่เมื่อเขาไม่อยู่ ก็ไม่มีใครสามารถรับช่วงงานของเขาต่อได้

อีกทั้งการใช้เอกสารกระดาษ หรือไฟล์ Excel แยกเก็บเป็นรายคนรายแผนก ยังคงพบเห็นได้บ่อยในหน้างานในไทย ซึ่งรูปแบบการจัดการเช่นนี้ทำให้การแชร์ข้อมูลล่าช้า เกิดข้อผิดพลาดจากการกรอกหรือคัดลอกข้อมูล และเป็นอุปสรรคต่อการจัดการที่มีประสิทธิภาพ และเมื่อการทำงานยังผูกติดกับบุคคล และยังใช้ระบบกระดาษอยู่ ทำให้ข้อมูลสต็อกไม่สามารถอัปเดตแบบเรียลไทม์ได้ และยังทำให้เกิดข้อผิดพลาดและงานซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

ข้อมูลกระจัดกระจาย มองภาพรวมไม่ได้

ในกรณีที่มีหลายโรงงานหรือหลายคลังสินค้า หรือแต่ละแผนกใช้ระบบบริหารจัดการที่ต่างกัน ปัญหาที่ตามมาคือ “ข้อมูลกระจัดกระจาย” และไม่สามารถรวบรวมมาเป็นภาพรวมเดียวกันได้ เช่น อาจมีการแยกจัดการข้อมูลสต็อกระหว่างคลังเก็บชิ้นส่วนกับคลังเก็บสินค้าสำเร็จรูป หรือระบบของสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่นไม่ได้เชื่อมกับระบบในไทย ส่งผลให้ฝ่ายบริหารไม่สามารถมองเห็นภาพรวมของสินค้าคงคลังทั้งหมดได้ทันที

ด้วยข้อมูลที่แยกอยู่ตามจุดต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่า สินค้าใดมีเกิน สินค้าใดขาด และนำไปสู่การสั่งซื้อเกินจำเป็น หรือพลาดโอกาสการขายเพราะสินค้าหมดสต็อก ต้องจัดส่งฉุกเฉิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนแฝงที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและกำไรของธุรกิจ

 

| ผลลัพธ์จากการปรับปรุงการทำงานที่เกิดขึ้น เมื่อมีการนำระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (WMS) มาใช้

เมื่อพิจารณาจากปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวไปข้างต้น หากมีการนำระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (WMS) มาใช้งาน เราจะสามารถคาดหวังถึงผลลัพธ์ของมันได้อย่างไรบ้าง โดยในที่นี้ เราจะขอแนะนำผลลัพธ์หลัก ๆ ที่สามารถคาดหวังได้จากการใช้งานระบบ โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อหลักดังนี้

ลดความผิดพลาดด้วยการ “มองเห็นได้” อย่างแม่นยำในข้อมูลสินค้าคงคลัง

เมื่อนำระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลังมาใช้ ข้อมูลจะได้รับการอัปเดตแบบเรียลไทม์ทุกครั้งที่มีการรับเข้าและจ่ายออก ทำให้สามารถ “มองเห็นได้” ถึงจำนวนสินค้าคงคลังที่ถูกต้องได้ตลอดเวลา อีกทั้งการใช้บาร์โค้ดสแกนเนอร์ยังช่วยลดความผิดพลาดจากการจดบันทึกด้วยมือหรือการตรวจสอบด้วยสายตา ส่งผลให้ไม่เกิดความคลาดเคลื่อนระหว่างข้อมูลในบัญชีและสินค้าคงคลังจริง และเมื่อข้อมูลมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาลงไปตรวจสอบสินค้าทุกครั้งที่ไม่มั่นใจว่า “ข้อมูลในระบบตรงกับความเป็นจริงหรือไม่” ซึ่งช่วยลดภาระที่ไม่จำเป็นลงไปได้เป็นอย่างมาก

และผลลัพธ์ที่ตามมาคือ สามารถป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งหรือความล่าช้าได้ ลดความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า และหากความแม่นยำของข้อมูลสินค้าคงคลังสูงขึ้น ก็อาจสามารถลดความถี่ของการตรวจนับสินค้าคงเหลือได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เคยมีกรณีที่หลังจากติดตั้งระบบแล้ว สามารถลดการทำ Stock Count จากเดือนละครั้งเหลือเพียงครึ่งปีละครั้ง ซึ่งช่วยลดภาระงานและต้นทุนของหน้างานได้เป็นอย่างมาก

ยกระดับประสิทธิภาพด้วยการทำให้มาตรฐานของงานเป็นระบบเดียวกัน

ด้วยการนำระบบ WMS มาใช้งาน จะช่วยทำให้กระบวนการบริหารสินค้าคงคลังเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นใครมาทำหน้าที่ก็สามารถปฏิบัติงานได้ด้วยคุณภาพเดียวกัน เช่น ขั้นตอนตั้งแต่การรับเข้า จัดเก็บ และหยิบสินค้าออกจากคลัง (Picking) จะถูกแนะนำผ่านระบบ ทำให้แม้แต่พนักงานที่มีประสบการณ์น้อยก็สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีผิดพลาด

จึงทำให้งานที่เคยพึ่งพาความรู้เฉพาะตัวหรือความชำนาญเฉพาะบุคคลจะถูกลดลง และเมื่อทุกคนสามารถทำตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ก็ช่วยลดเวลาการทำงานได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาจดด้วยมือหรือกรอกข้อมูลลง Excel เหมือนในอดีต ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เช่น จากเดิมที่ต้องแจกใบ Picking แบบกระดาษ แต่หากสามารถยืนยันและป้อนข้อมูลผ่านเครื่อง Handy Terminal   ได้ ก็จะช่วยลดทั้งขั้นตอนในการค้นหาและการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน การนำระบบมาใช้จึงช่วยทำให้งานในหน้างานเป็นมาตรฐานมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มความเร็ว และลดความผิดพลาดจากคนได้ในเวลาเดียวกัน

ใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์และรักษาระดับสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลังนั้น มักจะมีการสะสมข้อมูลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไว้ในระบบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของความต้องการของลูกค้า หรือแนวโน้มของการเบิกจ่ายสินค้าแต่ละประเภทได้ง่ายขึ้น ช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์ในการรักษาระดับสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ (ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป)

โดยหลังจากนำระบบมาใช้แล้ว ผู้ใช้สามารถติดตามดัชนีชี้วัดต่าง ๆ เช่น อัตราการหมุนเวียนของสินค้า หรือความถี่ของการเกิดสินค้าขาดสต็อก เพื่อวางแผนป้องกันการขาดสินค้าที่ขายดี และลดสินค้าที่ไม่มีการเคลื่อนไหวได้ อีกทั้ง เมื่อข้อมูลสินค้าคงคลังถูกรวบรวมอยู่ในระบบเดียว ฝ่ายบริหารทั้งในประเทศไทยและสำนักงานใหญ่ที่ญี่ปุ่น ก็สามารถแชร์ข้อมูลกันได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถกำหนดนโยบายร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และจากการเปลี่ยนจากการบริหารแบบพึ่งพาความรู้และประสบการณ์ส่วนบุคคลแบบเดิม ๆ ไปสู่การบริหารโดยใช้ข้อมูลเป็นฐาน จะช่วยให้สามารถวางแผนการสั่งซื้อหรือการผลิตได้อย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลให้ทั้งประสิทธิภาพและอัตรากำไรโดยรวมขององค์กรดีขึ้นตามไปด้วย

 

| ขั้นตอนในการนำระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (WMS) มาใช้ในประเทศไทย

ここからは、タイで在庫管理システムを導入するステップについて解説していきます。

หากต้องการนำระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลังมาใช้ในประเทศไทย เราจะมาดูกันว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ดังต่อไปนี้

สำรวจสถานการณ์ปัจจุบัน

สิ่งแรกที่ควรดำเนินการคือการลงพื้นที่สำรวจหน้างาน เพื่อทำความเข้าใจขั้นตอนของทำงานในปัจจุบัน รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยจะทำการสอบถามทั้งผู้จัดการชาวญี่ปุ่นและพนักงานชาวไทย เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาที่เกี่ยวกับการจัดการสินค้าคงคลังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และจะตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ขณะนี้กระบวนการรับ-จ่ายสินค้า และการตรวจนับสินค้าคงคลังดำเนินการอย่างไร มีจุดใดที่เกิดความคลาดเคลื่อนของสต๊อก หรือมีขั้นตอนไหนที่ยังพึ่งพาความสามารถเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่หรือไม่

ในขณะเดียวกัน ก็จะมีการประเมินความเข้าใจด้านไอทีของพนักงานในพื้นที่ และพิจารณาข้อจำกัดด้านภาษา เช่น จำเป็นต้องแสดงผลหน้าจอเป็นภาษาไทยแทนภาษาญี่ปุ่นหรือไม่ ตัวอย่างปัญหา เช่น “ข้อมูลในสต๊อกชีตไม่น่าเชื่อถือเลย จะต้องมานับใหม่หน้างานทุกครั้ง” หรือ “มีเฉพาะคุณ A เท่านั้น ที่รู้ตำแหน่งจัดเก็บของสินค้านี้” เป็นต้น และปัญหาเหล่านี้จะถูกรวบรวมเป็นรายการเอาไว้ และรายงานให้ผู้บริหารรับทราบ โดยในการสำรวจในขั้นตอนนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปสู่การกำหนดความต้องการของระบบในขั้นตอนถัดไปอย่างแม่นยำ

การกำหนดความต้องการและการออกแบบระบบ

เมื่อสามารถระบุปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการกำหนดคุณสมบัติที่ระบบควรมี เพื่อใช้แก้ไขปัญหาเหล่านั้น และรวมไปถึงวางแผนการออกแบบระบบให้เหมาะสม เช่น อาจกำหนดว่า “จะนำระบบบาร์โค้ดมาใช้เพื่อลดความคลาดเคลื่อนของสต๊อก” หรือ “หน้าจอระบบต้องรองรับภาษาไทยเพื่อให้พนักงานใช้งานได้ง่าย” หรือ “ต้องเชื่อมต่อกับ ERP ของสำนักงานใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการกรอกข้อมูลซ้ำ” เป็นต้น

ในขั้นตอนของการกำหนดฟังก์ชันที่จำเป็น จะต้องระวังไม่ให้เริ่มต้นด้วยระบบที่มีฟังก์ชันมากเกินความจำเป็น แต่ควรเริ่มจากสิ่งที่หน้างานจำเป็นต้องใช้จริงก่อน เพื่อควบคุมงบประมาณและหลีกเลี่ยงความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น และเมื่อความต้องการชัดเจนแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการออกแบบระบบ โดยหากใช้ซอฟต์แวร์ WMS สำเร็จรูป จะต้องพิจารณาการตั้งค่าและการปรับแต่งให้สอดคล้องกับกระบวนการทำงานของบริษัท

ส่วนในด้านฮาร์ดแวร์ จะพิจารณาอุปกรณ์ต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น เช่น เครื่องอ่านบาร์โค้ด หรืออุปกรณ์ตรวจนับสินค้า รวมถึงการติดตั้งเครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi) ให้เหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย นอกจากนี้ ก็จะมีวางแผนนำระบบมาใช้แบบเป็นขั้นเป็นตอน เช่น เริ่มทดลองใช้ที่คลังสินค้าแห่งหนึ่งก่อน หากไม่มีปัญหาจึงค่อยขยายการใช้งานไปยังคลังสินค้าอื่น ๆ

การนำระบบมาใช้จริง

เมื่อระบบพร้อมตามที่กำหนดไว้แล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการใช้งานจริงที่หน้างาน โดยเริ่มจากการตรวจสอบการทำงานในสภาพแวดล้อมจำลอง จากนั้นทดลองใช้งานร่วมกับพนักงาน โดยสำหรับพนักงานชาวไทย ก็จะมีการฝึกอบรมโดยใช้สื่อภาษาไทย เช่น คู่มือหรือการสาธิต เพื่อให้เข้าใจวิธีการใช้งานได้ชัดเจน

ในช่วงเริ่มต้น ควรใช้แนวทางการนำร่อง (Pilot) โดยให้ระบบทำงานควบคู่กับวิธีเดิม โดยเริ่มจากบางคลังสินค้าหรือบางประเภทสินค้า แล้วค่อย ๆ ขยายขอบเขตการใช้งาน เช่น “เริ่มใช้งาน WMS ที่คลังสินค้า A ก่อน แล้วปรับปรุงจากผลที่ได้ ก่อนจะขยายไปยังคลังสินค้า B และ C” เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน

ในระหว่างการนำระบบมาใช้ จะเน้นความร่วมมือระหว่างผู้รับผิดชอบชาวญี่ปุ่นและพนักงานชาวไทย เพื่อให้ระบบฝังรากลึก และใช้งานได้จริงในหน้างาน และจะมีการเตรียมงานเบื้องต้น เช่น การติดฉลากบาร์โค้ด การกำหนดรหัสตำแหน่งจัดเก็บสินค้า (Location Code) อย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าให้ฟังก์ชันพื้นฐานสามารถใช้งานได้ภายในระยะเวลาสั้น และหากเกิดปัญหาไม่คาดคิด จะมีเจ้าหน้าที่ IT ประจำอยู่ที่หน้างานเพื่อให้ความช่วยเหลือทันที

การสร้างเสถียรภาพในการใช้งานและการติดตามผล

และขั้นตอนที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการติดตั้งระบบคือ การสร้างความมั่นคงในการใช้งาน และการติดตามผลหลังจากเริ่มใช้งานจริง โดยในช่วงแรกของการใช้งาน พนักงานอาจยังไม่คุ้นเคยกับระบบใหม่ และอาจกลับไปใช้วิธีเดิม หรือใช้ฟังก์ชันบางอย่างได้ไม่เต็มที่

โดยในช่วง 1-3 เดือนแรก ควรติดตามการใช้งานอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบว่ากระบวนการที่กำหนดไว้มีการปฏิบัติตามขั้นตอนหรือไม่ หากพบปัญหา ควรอบรมซ้ำ และอธิบายอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนใหม่ และหากใช้ระบบอย่างถูกต้อง จะช่วยลดภาระงานในระยะยาวได้อย่างไร

อาจจะติดป้ายขั้นตอนการใช้งานไว้ในพื้นที่ทำงาน หรือปรับเปลี่ยนงานของพนักงานที่ไม่ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนให้พนักงานที่มีทัศนคติดีต่อระบบไอทีมีบทบาทมากขึ้น เพื่อผลักดันให้ระบบฝังรากลึกลงไป และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้

| จุดแข็งของการสนับสนุนโดย TOMAS TECH – ครบวงจรตั้งแต่สำรวจหน้างานจนถึงการใช้งานจริงอย่างมั่นคง

การสำรวจหน้างาน

ทีมงานของเราที่เชี่ยวชาญทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยจะลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากหน้างานโดยตรง โดยสามารถระบุปัญหาเฉพาะของโรงงานในประเทศไทยได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสรุปความต้องการทั้งจากฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ

การออกแบบระบบ

เราพร้อมออกแบบระบบจัดการสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับกระบวนการจริงในหน้างาน เพื่อให้รองรับการเชื่อมต่อกับระบบที่มีอยู่เดิม รวมถึงหน้าจอผู้ใช้แบบหลายภาษา เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การสนับสนุนการนำระบบมาใช้จริง

ให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิดในช่วงเริ่มต้นการใช้งาน ทั้งการฝึกอบรมวิธีใช้ การตอบข้อสงสัยในหน้างาน รวมถึงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้รับผิดชอบชาวญี่ปุ่นและพนักงานชาวไทย เพื่อให้การนำระบบมาใช้เป็นไปอย่างราบรื่นตามแผน

การสนับสนุนในระยะยาว

แม้หลังจากระบบเริ่มใช้งานแล้ว เราก็ยังคงติดตามการใช้งานหน้างานอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนการติดตั้งฟังก์ชันเพิ่มเติมหรือการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างเหมาะสม

และด้วยความสามารถในการดูแลครบทุกขั้นตอนแบบ One-Stop Service เช่นนี้นั้น คือจุดแข็งสำคัญของ TOMAS TECH

| คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการนำระบบจัดการสินค้าคงคลังมาใช้ในประเทศไทย

รู้สึกกังวลหากต้องเริ่มต้นใช้งานระบบในสเกลใหญ่ทันที สามารถเริ่มต้นลองจากขนาดเล็กก่อนได้หรือไม่?

ได้แน่นอนครับ เราแนะนำให้เริ่มต้นที่กระบวนการบางส่วนที่เล็ก ๆ ก่อน หรือคลังสินค้าบางแห่งก่อน ในรูปแบบ “ทดลองใช้งาน” (Pilot) เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นก่อนขยายไปยังส่วนอื่น ๆ วิธีนี้ช่วยลดความกังวลของหน้างาน และยังสามารถตรวจสอบผลลัพธ์ได้จริง
 

พนักงานชาวไทยสามารถเป็นผู้ใช้งานหลักของระบบได้หรือไม่? (เพราะกังวลในเรื่องของการรองรับภาษา)

แน่นอนครับ ตัวระบบสามารถแสดงผลเป็นภาษาไทยได้ รวมถึงมีการออกแบบหน้าจอและคู่มือการใช้งานให้เข้าใจง่ายสำหรับพนักงานชาวไทยโดยเฉพาะ TOMAS TECH ยังให้การฝึกอบรมทั้งในภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย เพื่อให้พนักงานชาวไทยสามารถใช้งานระบบได้ด้วยตนเองอย่างมั่นใจ
 

ค่าติดตั้งระบบประมาณเท่าไร?

ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงาน ขอบเขตการจัดการ และรูปแบบของระบบ หากเลือกใช้ระบบ WMS แบบคลาวด์ที่มีอยู่ในตลาด ก็สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ด้วยค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่หากต้องการระบบที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับองค์กร ก็จะมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการพัฒนา เราสามารถเสนอแผนงานที่เหมาะสมตามงบประมาณและความต้องการของท่านได้ สามารถติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาได้เสมอ!

 

สรุป: การปรับปรุงระบบจัดการสินค้าคงคลังในประเทศไทย — กุญแจสู่ความสำเร็จคือ “การปรับใช้ระบบอย่างเป็นขั้นตอน”

แม้จะมีความท้าทายทั้งในเรื่องความแม่นยำของข้อมูลและการพึ่งพาตัวบุคคล แต่หากดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสม ก็สามารถปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหัวใจสำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากระบบที่ซับซ้อนหรือใหญ่โตในทันที แต่ควรค่อย ๆ ปรับระบบในพื้นที่ที่จำเป็นก่อน และค่อยขยายต่อไปทีละขั้นอย่างเป็นระบบ

โดยเริ่มจากการมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในหน้างาน และเดินหน้าก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (DX) ทีละก้าวอย่างมั่นคง หากรู้สึกไม่มั่นใจ  การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจบริบทของโรงงานในไทยก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ชาญฉลาด

TOMAS TECH พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์เคียงข้างธุรกิจของคุณ ตั้งแต่การลงพื้นที่สำรวจปัญหา ไปจนถึงการสนับสนุนให้ระบบใหม่ฝังรากในหน้างานอย่างมั่นคง เราพร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับการจัดการสินค้าคงคลังในฐานการผลิตที่ประเทศไทยอย่างแท้จริง หากสนใจสามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้ทุกเมื่อ!